หลวงพ่อผินะ ปิยธโร อมตะเถระทรงอภิญญาฤทธิ์ โดย
ปุระณะ พระอริยะสงฆ์เหนือกาลเวลาสุดยอดพลังเวท
สุดมหัศจรรย์นั่งสมาธิถอดจิตละ สังขาร หลวงพ่อผินะท่านกล่าวไว้ว่า
"ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ" ดาวนั้นแทนใจปริศนาธรรมอันล้ำลึก
หลวงพ่อผินะท่านได้ทำไว้ให้ลูกศิษย์มีติดตัวเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในการทำกิจการค้าขาย
และสามารถใช้ได้ครอบจักวาล ป้องกันภูตผีปีศาจ ของคุณไสยและคลาดแคล้ว หลวงปู่ผินะ ปิยธโร
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2456 ณ บ้านหัวลำโพง อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
ในช่วงวัยเด็กท่านมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย หลังจากการร้องให้ทุกครั้ง
ท่านมักจะชักจนหน้าเขียว และมารดาได้พาไปหาหมอรักษาโรค หลวงพ่อสิน ได้บอกถึงรางว่า
ชื่อ ทวายนั้นเป็นความหมายที่เป็นกาลกิณี จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ผินะ แปลว่า
หันหน้า, หันหลัง, เปลี่ยนทิศทาง,
ไม่แยแส, หรือเลิกคบกัน
นับแต่นั้นอาการดังกล่าวได้ทุเลาลง จากนั้นหลังจากโยมบิดาได้เสียชีวิตลง
ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร บรรพชาอุปสมบท และเมื่ออายุครบบวชท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี
พ.ศ. 2481
ณ วัดหนองเต่า โดยมีพระครูอุดมคุณาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอทัพทัน
เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระมหาอำนวย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในระหว่างเป็นพระภิกษุ
ท่านได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสออกธุดงค์ไปจำพรรษาที่ วัดเกาะเทพเทโพ หลังจากอุปสมบทแล้วเพียง
20 วัน ท่านจึงขอสึกออกมา เพราะยังกลัวศพอยู่ อยู่มาได้เพียง
11 วัน โยมมารดาก็ถึงแก่กรรมลงอีก
ต่อมาก็เจาะจงมาที่พระภิกษุผินะ จูงศพให้ได้ เพราะเป็นโรคฝีในท้อง สับปะเหร่อก็ผ่าท้องให้ดู
ท่านก็ฉันอาหารไม่ได้ถึง 3 - 4 วัน และมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ
จึงขอเจ้าอาวาสไปพักที่อื่นสัก 5 วัน แล้วจะกลบมาลาสิกขาบท หลวงพ่อคำก็ได้สอบถามท่านและพระภิกษุอีก
1 รูป เป็นคนกลัวผี ก็สั่งสอนว่า สังขารของคนอื่นนั้นมันก็เหมือนกับของเรา
จะรังเกียจไปทำไม ต่อมาท่านได้อยู่กับหลวงพ่อคำที่วัดเกาะเทพเทโพ
อยู่ในหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ก็เลิกกลัวผี เกิดมานะว่าท่านจะบวชตลอดชีวิต ต่อมาท่านได้เดินทางแสวงธรรมหาพระคณาจารย์เพื่อเรียนศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน
โดยมุ่งหน้าไปที่ วัดถ้ำตะโก แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะ
หลวงพ่อท่านได้มรณภาพไปก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยใจที่มานะ
ท่านจึงได้อยู่จำพรรษาอยู่ที่ วัดถ้ำตะโก 2 พรรษา (พ.ศ. 2482
- 2484 หลังจากนั้น ฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่มั่น
ภูริทัตโต ท่านได้จาริกธุดงค์ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับ
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้อบรมบ่งนิสัยในการรักสันโดษ ออกธุดงค์มาเรื่อย ๆ
ก็มาถึงที่ตำบลบ้านสนมลาว
อันเป็นบ้านเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นราชธานี (3 เมษายน พ.ศ. 1893 - 7 เมษายน พ.ศ. 2310) หลวงพ่อท่านเริ่มอาพาธและถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ก่อนหน้านี้ พินัยกรรม จัดการศพ หลวงพ่อผินะได้ทำหนังสือเขียนสั่งไว้
มีใจความว่า "เมื่อฉันละสังขาร ขอให้ปฏิบัติตามนี้ คือ ห้ามฉีดยาศพโดยเด็ดขาด
ให้เก็บศพไว้ในสภาพนั่งขัดสมาธิ ให้บรรจุศพไว้ในที่เตรียมไว้ ณ สุสานผินะ
ไม่ต้องมีการสวดศพ ไม่ต้องบอกคนมาก ห้ามเผาศพโดยเด็ดขาด" สั่ง ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2545 ลงชื่อ พระผินะ ปิยธโร
พระอาจารย์ใหญ่ประธานคณะปฏิบัติธรรม วัดสนมลาววิหาร
ด้วยเกิดเหตุปรากฏการณ์ความมหัศจรรย์ ภายหลังการมรณภาพลงอย่างสงบของ
"หลวงพ่อผินะ ปิยธโร" สิริอายุ 89 ปี
เจ้าอาวาสวัดสนมลาว นั่งสมาธิมรณภาพ ร่างหลวงพ่อผินะนั่งหมดลมหายใจในท่านั่งขัดสมาธิอย่างสงบ
เหตุที่ไม่ปกติเพราะท่านมรณภาพเวลาประมาณ 05.14 น.
แต่เวลาล่วงเลยกว่า 12 ชั่วโมงแล้วร่างกายเนื้อตัวท่านยังอ่อนนิ่ม
ไม่คล้ายดังคนที่หมดลมหายใจแต่อย่างใด ประวัติการสร้างดาวอาถรรพ์และดาวมหามงคล ดาวอาถรรพ์
และดาวมหามงคลผสมผงแร่เขาศูนย์
ดาวอาถรรพ์ที่เป็นยุคแรกที่สร้างยุคต้น!!..วัดถ้ำท่าเกย จ.เพชรบูรณ์ นั้นจะมีส่วนผสม
“ของดีที่เห็นได้ง่ายแต่เอายาก” ในสัดส่วนที่มาก ซึ่งท่านเริ่มทำตั้งแต่ราวๆปี2500 ซึ่งดาวนายพล ในครั้งนั้นเราเรียกว่าดาวอาถรรพ์ เพราะใส่ผงและน้ำมันอาถรรพ์มาก
จึงเรียกว่า ดาวอาถรรพ์ จนกระทั้งหลวงพ่อท่านได้มาอยู่ที่วัดพระสนมลาว พ.ศ.2527 ท่านก็ได้เริ่มทำดาวอาถรรพ์อีกครั้ง แต่หลวงพ่อเรียกว่า “แม่เนื้อหอม” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกลีบบัว สำหรับผู้ชาย และหยดน้ำเล็กสำหรับผู้หญิง
ราวๆปีพ.ศ.2534 ผงดาวอาถรรพ์เริ่มลดน้อยลงหลวงพ่อท่านจึงอาศัยไม้มงคลต่างๆ12ชนิด และผงแร่เขาศูนย์มาผสม ส่วนผงอาถรรพ์นั้นใส่น้อยมาก ตรงนี้นี่เอง ทางวัดจึงเรียกว่า
“ดาวมหามงคล” เพราะใส่ส่วนผสมของไม้มหามงคล และผงแร่มาก และที่สำคัญพระของหลวงพ่อผินะโดยส่วนใหญ่นั้น
เป็นเนื้อดินดิบผสมว่าน จะไม่ได้ผ่านการเผาแบบเนื้อดินเผา
ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่าที่ไม่ทำแบบดินเผาเพราะว่านไม้มงคลต่างๆจะเสื่อมฤทธิ์
อยากให้คุณวิเศษทั้งหลายของว่านไม้ต่างๆอยู่แบบเต็มร้อย
เวลานำไปใช้จึงได้ผลคงความศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา ดาวมหามงคล ถ้ามีรูปดาวกับเดือน จะเรียกว่าดาวเปาบุ้นจิ้นหรือดาวจอมพล
และมีแบบที่มีแปดแฉกห้าแฉกใหญ่และเล็ก หลวงพ่อท่านจะเรียกว่าแบบใหญ่ว่า นายพัน
ส่วนแบบเล็กเรียกว่านายสิบ สำหรับผู้หญิงใช้
นอกจากนี้ก็มี แบบติดดาว
ซึ่งหลวงพ่อผินะจะติดให้เฉพาะผู้ที่มีอาชีพเป็นตำรวจและทหารเท่านั้น
ส่วนการติดพลอยนั้นไม่ได้ติดทุกองค์เพราะติดไม่ทันกัน แต่ได้บรรจุเม็ดกริ่งทุกองค์
บางครั้งกริ่งจะขัดเขย่าไม่ดัง ดาวของท่านดีทุกทางจริงๆ
อีกทั้งของสิ่งนี้ก็ได้สร้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามนิมิตของท่านเอง
ซึ่งหลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่า เมื่อจิตสงบปัญญาก็เกิดเอง
ปัญญานี้แหละที่ทำให้จิตเกิดความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง คุณพ่อปลัดมีกี่แบบ คุณพ่อปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นมีสองแบบ
คือแบบหัวคนหรือที่เรียกว่าหัวหอม และแบบหัวชะมด
แบบหัวชะมดนี้มีทั้งที่ฝังพลอยและไม่ฝังพลอย นอกจากนี้ยังมีลิ้นหลายแบบ เช่น
ลิ้นทองแดง ลิ้นทองเหลือง ลิ้นเงิน ลิ้นทองคำ นอกจากนี้แล้วยังมีหลายขนาด
มีทั้งแบบใหญ่มากสำหรับบูชาที่บ้านหรือแบบพกพา( ขนาดพกพาก็ยาวเป็นคืบ )
แต่ที่เป็นตัวเล็กๆจริงๆนั้นหายากมากมักไม่ค่อยได้เห็นกัน
ท่านได้สร้างจากหลายเนื้อไม้ ตั้งแต่แก่นของพญาไม้ ไม้พญาสัตบรรณ ไม้สัก ไม้งิ้วดำ
ไม้กัลปังหา และที่เหลือเชื่อคือ
คุณพ่อปลัดที่ทำจากกัลปังหานั้นตอนที่เสกอยู่ก็ถึงกับกระโดดออกจากบาตร ของท่าน ที่สำคัญต้องบูชาด้วยน้ำหอมเช่นเดียวกับดาวอาถรรพ์ คำบูชาหลวงพ่อผินะ
ปิยธโร จุดธูป 5 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ อะหัง สุขิโต ผินะ ปิยะธะโร นามะเต อาจาริโยเม
ภันเต โหหิ (ว่า 3 จบ) คาถาบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อผินะ “นะเตสุเต” สวดเท่าอายุ
ปิดท้ายด้วย “มหาสุเตนะชา” อธิษฐานตามจิตปรารถนา คาถาบูชาดวงดาวของหลวงพ่อผินะ "ตั้งนะโม 3 จบ" ระลึกถึงหลวงพ่อผินะ พุทธธัง กันตัง สะระนังฮ่า พุทธธัง กันตัง
สะระนังแฮ่ พุทธธา นะ โมยะ
เคดิต: จากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรี, หนังสือประวัติหลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว และคำบอกเล่าคนใกล้ชิดหลวงพ่อ
|