เสียงธรรมจากพระป่า โดย จิรปภา
หลวงพ่อสุมโน ภิกขุ
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ในฉบับนี้ข้าพเจ้าผู้เขียนขอนำท่านผู้อ่านไปพบกับสาระธรรมดีๆจากพระปฏิบัติสายวัดป่าอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็น พระฝรั่ง
ชาวเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสุขสบายในชีวิตฆราวาส
แล้วหันเหตัวเอง สู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ
เพื่อดำเนินชีวิตในวิถีทางที่สันโดษและเรียบง่าย ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา
อดีตเคยเป็นนักศึกษาด้านกฎหมายและนักธุรกิจด้านตีราคาที่ดินทั้งของรัฐและเอกชน
ผู้ที่เคยใช้ชีวิต ระดับไฮคลาส เดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินชั้นธุรกิจ (Business
Class) พักแต่โรงแรมระดับห้าดาว
และมีเงินเหลือเฟือพอที่จะเที่ยวรอบโลก
ได้ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่หลายคนพยายามตะเกียกตะกายขนขวยเพื่อจะไปให้ถึงซึ่งความต้องการทางสังคมโลกคือลาภ
ยศ สุข สรรเสริญ
แต่เป็นเพราะเหตุเช้าวันหนึ่งท่านได้ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ
ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารสาระอะไรที่ทำให้ท่านต้องตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว
หลวงพ่อสุมโน ซึ่งอดีตเคยนับถือศาสนายิว บอกเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
รู้จักพระพุทธศาสนาครั้งแรกเมื่อตอนที่กำลังศึกษา อยู่ในชั้นมัธยมปลาย
ด้วยความที่มีนิสัยเป็นคนชอบอ่านหนังสือและแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งจึงได้ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาวางอยู่บนโต๊ะในห้องสมุด จึงได้หยิบมาอ่านดูเล่นๆแต่เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกมีความซาบซึ้งถึงเรื่องราวความเป็นไปของพระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจมาก
แรกเริ่มหลวงพ่อให้ความสนใจเรื่องการนำหลักการฝึกสมาธิของทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองมากกว่า
ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาศึกษาศาสนาหลายศาสนาและหลายนิกาย
โดยเคยไปเข้าคอร์สที่มีการอบรมด้านพระพุทธศาสนาอยู่หลายคอร์ส
และใช้เวลาปลีกวิเวกอยู่ในห้องโดยไม่ไปไหนเลย เป็นเวลานาน 2-3 ปี
เมื่ออายุได้ 32 ปี
เมื่อได้ทิ้งชีวิตการเป็นนักธุรกิจ และเริ่มมีใจซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อเห็นว่า
การฝึกสมาธิอย่างเดียวช่วยอะไรได้น้อยมาก จึงมีความสนใจ
อยากจะศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น แต่เวลานั้นยังไม่ได้มีความคิดที่จะบวชเป็นพระภิกษุ
มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านกำลังจะเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียนั้น
ระหว่างทางได้ไปแวะที่ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เพราะเพื่อนของหลวงพ่อได้แนะนำให้รู้จักวัดแห่งหนึ่งที่นี่ ชื่อวัดจิตตวิเวก (วัดป่าสาขาวัดป่าหนองป่าพงแห่งแรกในประเทศอังกฤษ)
มี พระสุเมธาจารย์ หรือท่านสุเมโธ ภิกขุ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อเริ่มแรกตั้งแต่สร้างวัดมาในปีพ.ศ.
2522
และในที่สุดจึงตัดสินใจบวชเมื่ออายุได้
35 ปี
จากนั้นก็เริ่มคิดจะศึกษาธรรมะจากครูบาอาจารย์จริงๆที่อยู่ทางเมืองไทยจึงได้เดินทางสู่ประเทศไทย
ทำให้หลวงพ่อมีได้มีโอกาสแวะเวียนไปกราบไหว้
และเรียนรู้ธรรมะจากพระชื่อดังหลายรูปในประเทศไทย อาทิ ท่านพุทธทาสภิกขุ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และ หลวงพ่อชา สุภัทโท
โดยเฉพาะหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ
จ.อุบลราชธานี หลวงพ่อมีความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธามากเป็นพิเศษอยู่แล้ว
เพราะเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดสาขาของท่านที่อังกฤษ
หลวงพ่อจึงไม่รีรอที่จะเดินทางสู่ภาคอีสาน ไปยังที่พำนักของหลวงพ่อชา
เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์
การทำสมาธิ
ทำอย่างไร
ตอนนี้เราลองมาศึกษาเรื่องของการทำสมาธิของหลวงพ่อดูนะครับ
ว่าท่านเองมีแนวสอนในส่วนเรื่องของการปฏิบัติการฝึกจิตทำสมาธิภาวนาอย่างไรบ้าง
หลวงพ่อได้กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการทำสมาธิ เริ่มจากการรักษาจุดยืนที่ถูกต้องให้ได้เสียก่อน
ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายที่เราต้องการไปให้ถึงนั้นคืออะไร ทำไมเราจึงต้องไปให้ถึงมันให้ได้
และเราจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร ความพยายามของเราก็คงจะไม่ส่งผลอะไรมากนัก
ถ้าเราลงมือทำอะไรโดยไม่ใช้สติปัญญา ความล้มเหลวย่อมเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอน
ดังนั้น
ตั้งแต่แรกเริ่ม
เราจะต้องมีความพยายามที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเราจะต้องมีจุดยืนที่เหมาะสม
และเราจะต้องมองให้ออกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้นั้นคืออะไร
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขับรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง
ถ้าเราออกเดินทางไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก
ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้ว่าจะต้องไปทางไหนอย่างไร
และถ้าเราหลงลืมอยู่เรื่อยว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน
เราก็อาจจะพบว่าตัวเองกำลังหลงทาง หรือแย่ไปกว่านั้นเราอาจจะกำลังวิ่งวนไปมาเป็นวงกลมอยู่รอบเมือง
ในการฝึกสมาธิอย่างถูกต้อง
คุณจะพบว่าการอยู่กับปัจจุบันและพุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึก(แทนที่จะเป็นที่ความคิด)จะเปิดประตูแห่งการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
(บางคนเรียกมันว่า การตื่นรู้) ซึ่งจะทำให้คุณได้พบกับ”ความจริง” ที่ปราศจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกายและจิตของคุณ
จะทำได้อย่างไรนะหรือ
คุณไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิและนับเลขหรือสวดบริกรรมภาวนาอย่างไม่ขาดตอน
คุณไม่จำเป็นต้องนั่งลงด้วยซ้ำไป
สิ่งที่สำคัญก็คือการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการพยายามอยู่กับปัจจุบันและรับรู้ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นและผ่านไปอยู่ตลอดเวลา กำลังเกิดอะไรขึ้น (ในระดับความรู้สึก) กับร่างกายของคุณในขณะนี้
ร่างกายในที่นี้เราหมายถึงความรู้สึกทางหู
ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง ความรู้สึกนะ ไม่ใช่ความนึกคิด
หรือตอนนี้ในจิตคุณกำลังคิดอะไรอยู่ จิตในที่นี้หมายความเฉพาะเจาะจงถึงความนึกคิด
กำลังมีความคิดเกิดขึ้นอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่คุณกำบังคิดเรื่องอะไรอยู่
ให้รับรู้ความรู้สึกที่ว่าคุณกำลังคิดอยู่ แทนที่จะนึกถึงเรื่องราวในความคิดของคุณ
คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้เพราะว่าคุณและความคิดของคุณไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
คุณสามารถมองเห็นความคิดของคุณได้ถึงแม้ว่าความคิดจะไม่สามารถมองเห็นคุณได้ก็ตาม
สิ่งอื่นๆที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวกับทวารแห่งการรับรู้ทั้งห้า
เมื่อความนึกคิดของคุณไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสติปัญญา
ก็จะมีเพียงการตระหนักรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับทวารแห่งการรับรู้ทวารใดทวารหนึ่ง
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบัน ในขณะนี้หน้าที่ของผู้ปฏิบัติสมาธิคือ การรับรู้จากความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังรุกรานหนึ่งในทวารแห่งการรับรู้ของร่างกาย
ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ตัวคุณ คุณสามารถตระหนักรู้ถึงมันได้ในฐานะที่มันเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง
นี้เป็นวิธีปฏิบัติที่ได้ผลที่สุด
การปฏิบัติของคุณเป็นการอุทิศให้กับปัจจุบันด้วยการตระหนักรู้ถึงกายและใจในแต่ละขณะจิต
ในแต่ละครั้งที่คุณตระหนักรู้ได้ทันท่วงที
ก็นับว่าคุณได้ก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาความสามารถในการพาตัวเองให้ออกห่างหรือแยกจากความคิดที่ร้ายกาจที่ว่าร่างกายหรือจิตใจนั้นคือตัวคุณที่เป็นอมตะ
คุณกำลังเข้าไปใกล้กับ ”ความจริง” ของความเป็นไปของสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้นไม่มีอะไรที่คุณจะต้อง
ปรับ เปลี่ยน หรือแก้ไขเลยสักอย่างคุณเพียงแค่ต้องรู้เท่านั้นเองว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่คงความสนใจของคุณไว้กับการรับรู้ถึงปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง
ในไม่ช้าการฝึกปฏิบัติการตระหนักรู้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติผลลัพธ์ก็คือความสุขในชีวิตของคุณที่เพิ่มมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกทุกข์กับชีวิตน้อยลง
คุณจะไม่ถูกตามหลอกหลอนโดยความสงสัยไม่แน่ใจนานาประการ
และความขัดแย้งในสัมพันธภาพต่างๆที่คุณเคยต้องอดทนกับมันมาก่อนหน้านี้ก็จะค่อยๆหายไป
ปฏิบัติเสียตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งคุณสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคุณถ้าคุณดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศีลห้า(การประพฤติปฏิบัติตามหลักศีลธรรมสำหรับมนุษย์ทั้งมวล)
คุณจะพัฒนาการมีสมาธิจดจ่อซึ่งจะทำให้การตระหนักรู้ของคุณมีพลังยิ่งขึ้น
และอาจจะก่อให้เกิดปัญญาแบบที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรนัก
แต่ก็รับประกันได้ว่าคุณจะไม่มีวันตกนรก ไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติหน้า เอาเลย
ลงมือเปลี่ยนชีวิตของคุณครั้งใหญ่เลย
เป็นมนุษย์ต้องกระทบโลกด้วย
รูป รส กลิ่น เสียง และธรรมารมณ์ เมื่อเราคุมจิตไม่ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้
สภาวธรรมเกิดขึ้นอยู่ในจิต ที่จิต ถ้าไม่มีสติ จิตก็จะเกิดการปรุงแต่ง
กรรมก็จะเกิดขึ้นยินดีหรือยินร้าย หรือไม่ยินดียินร้าย กิเลสเกิดขึ้นเพราะไม่มีสติ
ป้องกัน กิเลสแผดเผา เมื่อมีตัวตนก็ย่อมมีทุกข์ในสถานการณ์นี้เจริญในธรรมไม่ได้
มีแต่ทุกข์ ถ้าสภาวธรรมเกิดขึ้นอยู่ในจิตและเราเห็นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา สติก็เกิดขึ้นทันเป็นอย่างนั้น รู้เข้าไปในใจ เราเข้าใจ
ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีใคร ไม่มีทุกข์จิตไม่ปรุงแต่ง ไม่มียินดียินร้าย ไม่มีกรรม
เราเข้าใจ เราได้กุศลธรรม เจริญในธรรม ขณะนั้นไม่มีใครอยู่ ไม่มีทุกข์
ในสถานการณ์เหนือโลกนี้คนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การฝึกไม่ต้องทำอะไร
ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนอะไร อาศัยความรู้และเข้าใจดีที่สุด |