เขียนธรรม โดย ปุรณะ
พระอาจารย์สฤษดิ์ สำนักถ้ำสิงโต

เสียงธรรมจากพระป่า  โดย จิรปภา

พระอาจารย์สฤษดิ์  สิริภทฺโท สำนักถ้ำสิงห์โต บ้านเนินกระถิน ต.ลำพญากลาง   อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี

แม้อารยะธรรมของมนุษย์จะเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก จากวันและเวลาที่ผ่านมานับหลายพันหลายหมื่นปี จนถึงปัจจุบันนี้ ที่เราเรียกว่า ยุค”โลกาภิวัตน์” แต่มนุษย์เราก็ยังไม่อาจพ้นไปจากสิ่งหนึ่งได้เลย คือปัญหาเรื่องความทุกข์ ทั้งความทุกข์ทางกายและปัญหาทุกข์ทางใจ ที่เราต้องประสบพบเจออยู่ประจำวันเลยที่เดียว ที่มันมาบีบคั้น รวมไปถึงความทุกข์ที่จะมีมาอีกไม่นานคือ”สงคราม” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้า

มนุษย์เราก็มีความหวังสุดท้ายจากระบบจริยธรรมของลัทธิศาสนาต่างๆที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่ลัทธิศาสนาต่างๆโดยทั่วไปจะมอบให้เพียงบทบัญญัติ หรือคำสั่งข้อบังคับต่างๆที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามด้วยศรัทธาที่ถูกกำหนดให้ทำหรือให้เชื่อแม้ตัวของเขาเองก็ยังไม่สามารถพิสุตรอะไรได้เลยแต่ก็ต้องเชื่อเพราะเมื่อเขาได้เชื่อในหลักการต่างๆแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันดีในชีวิตประจำวันหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น

คำกล่าวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

แต่ในหลักลัทธิศาสนาที่น่าสนใจ ศาสนาหนึ่งที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและพุ่งเป้ามายังประเทศไทยคือ ศาสนาพุทธ มีชาวฝรั่งจำนวนมากได้เข้ามาศึกษาและรู้เรื่องราวของการปฏิบัติที่จะทำจิตของตนให้เข้าถึงความสุขได้ในปัจจุบัน และแนวทางที่จะนำดวงจิตนี้ให้เข้าถึงความพ้นไปจากความทุกข์ได้ สาเหตุหนึ่งในจำนวนหลายสาเหตุ ที่ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความฉงนและสนใจในพุทธศาสตร์เป็นจำนวนมากคือ เรื่องขอ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของยุคอะตอมได้กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับศาสนาไว้อย่างน่าสนใจว่า”ศาสนาในอนาคตควรเป็นศาสนาสากลแห่งจักวาล ควรเป็นศาสนาที่ไปไกล ก้าวพ้นจากพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นบุคคลและควรหลีกพ้นไปจากข้อความเชื่อทีบังคับโดยไม่ให้โต้แย้งและเทวะวิทยาที่เกี่ยวที่เกี่ยวข้องกับอำนาจปาฏิหาริย์เทวะฤทธิ์ ศาสนาในอนาคตควรเป็นศาสนาที่ครอบคลุมทั้งความจริงของธรรมชาติและของจิตใจมนุษย์ศาสนานั้นควรอยู่บนรากฐานของความสำนึกทางศาสนาที่เกิดจากประสบการณ์ต่อสรรพสิ่ง ธรรมชาติ และจิตใจ โดยรวมเข้าอย่างเป็นองค์รวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนา สามารถตอบสนองคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวนี้” และไอน์สไตน์ได้กล่าวต่อไปว่า”ถ้าหากจะมีศาสนาใดที่สามารถสนองความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ ศาสนานั้นคือ พระพุทธศาสนา”  ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่มีความเป็นพิเศษกว่าทุกศาสนาเลยก็ว่าได้ คือสอนตั้งแต่การขจัดปัญหาในชีวิตขั้นต้นจนถึงปัญหาความทุกข์ของชีวิตในขั้นสุดท้าย คือความทุกข์ในใจนี้ ถึงขั้นที่ทำทุกข์ในใจให้หมดสิ้นไป ทำให้จิตใจเป็นอิสระโล่งโปร่งผ่องใส โดยไม่มีทุกข์เกิดขึ้นอีกเลย หรือที่เรียกวาบรมสุขคือ”นิพพาน

หัวใจคำสอนของพุทธศาสนา

คำสอนที่เป็นหัวใจหลักของศาสนาพุทธคือ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้ผ่องใส นี้เป็นหัวใจ ของหลักคำสอนต่างๆที่มีหลักการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไปหลายอย่างแต่พอสรุปรวมลงได้คือ การปฏิบัติด้านสมถะกรรมฐานและด้านวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งในคราวต่อไปจะได้มาอธิบายเรื่องรายละเอียดต่างๆ แต่ในฉบับนี้จะได้นำเรื่องจริงและประสบการณ์จากครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่ท่านได้ฝึกฝนอบรมทางจิตมาเพื่อความพ้นทุกข์ ในทางด้านสายของสมถะกรรมฐาน คือการฝึกสมาธิในระดับต้น จนสามารถเดินจิตเข้าสู่องค์ฌานได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ พบรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเรียนรู้ศึกษาและนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติของการเจริญสมาธิในสมาธิขององค์อริยมรรค จากที่ได้สนทนา ท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นธรรมทาน ให้ความรู้กับนักปฏิบัติในด้านสมถะ ท่านไม่ได้มีเจตนาโอ้อวดเพื่อให้คนมาศรัทธาแต่อย่างใด เพราะปัจจุบันถึงแม้ท่านจะไม่มีสิ่งที่อยากได้อะไร หรือหวังสิ่งใดแล้ว เพราะความรู้รอบในหลักคำสอนต่างๆทั้งทางด้านสมถะและวิปัสสนาญาณ อันรู้เห็นถึงความเกิดและดับไปแห่งกองสังขารจากประสบการณ์จริงที่เคยปฏิบัติมาตลอดระยะเวลานานถึง27ปี ที่ท่านอยู่คลุกคลีกับการทรงอยู่ทำอยู่ตลอดเวลา และผ่านการตายจริงๆมาแล้วถึง5ครั้งด้วยกัน มันเป็นรางวัล เป็นข้อสอบและเป็นคำตอบที่ดีสำหรับชีวิตของคนที่เกิดมาในโลกมนุษย์ใบนี้ ท่านจึงรู้และเห็นแล้วว่า คำสอนของพุทธเจ้าเป็นของจริงไม่ได้แค่ไปฟังหรือไปอ่านแล้วเกิดศรัทธาประเภทหัวเต่า หรือศรัทธาฟ้าแลบ เป็นแค่ชั่วเวลาที่ยังรู้สึกเห็นว่าดี พอเห็นว่าไม่ดีก็หมดศรัทธา แบบนี้เรียกว่าคนมี “ศรัทธาที่ง่อนแง่นหวั่นไหวต่ออารมณ์ของตนเอง”

ฉบับนี้เราขอนำท่านผู้อ่านเดินทางไปพบกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่มีที่พักอาศัยอยู่ในกระตอบเล็กๆตั้งอยู่เชิงเขามีหน้าผมสูงชั้น ทางเข้าก็พอที่จะให้รถกระบะเข้าไปได้ ยกเว้นแต่ฝนตกอาจลำบากหน่อย ถ้าเป็นรถเก๋งก็จอดเลยนะครับ เดินไปจะสะดวกกว่าและปลอดภัยในรถของท่านเอง

ที่พักห่างจากถนนลาดยางไม่มากนักประมาณ1กม.เราก็มาถึงแล้วที่นี้แต่ก่อนเป็นไร่ปลูกพืชของนายก อบต.ลำพญากลาง นายวิชัย เปาวิมาน ต่อมาท่านนายกวิชัย ได้มีจิตศรัทธาจึงได้มอบถวายที่ดินให้ท่านได้พักอยู่ข้างๆไร่ติดกับภูเขาที่มีหน้าผาสูงชั้น ท่านเห็นว่าที่นี้เงียบสงบดีไม่มีบ้านคนอยู่ใกล้ๆ เหมาะสำหรับการบำเพ็ญภาวนาเป็นอย่างมากและอีกอย่างก็สะดวกในการออกมาเดินทางไปทำธุระทางสงฆ์ เพราะปัจจุบันท่านต้องไปหาหมอที่กรุงเทพฯเพื่อรักษาโรคประจำตัวที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก และโรคนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านต้องตายมาแล้วถึง 5 ครั้งด้วยกัน แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้ ด้วยอาศัยอำนาจแห่งสมาธิที่ท่านทรงอยู่เป็นปกตินิสัย จนมีความชำนาญในด้านของการฝึกทางจิตเพื่อให้รอดพ้นจากพญามัจจุราช

กรรมฐานเบื้องต้นกับจริต 6

ท่านพระอาจารย์สฤษดิ์ สิริภทํโท เป็นภิกษุรูปหนึ่งที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ห่มผ้าจีวรสีเหลืองหม่นตามแบบของพระป่าทั่วไป หลักจากได้กราบมนัสการเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้สนทนาธรรมกับท่านและได้ขอให้ท่านเมตตาช่วยเล่าถึงเรื่องการปฏิบัติการทำสมาธิจากประสบการณ์จริงให้ฟัง ท่านจึงเมตตาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในการปฏิบัติเบื้องต้นของการเจริญสมาธิภาวนามีมากมายหลายอย่างมากขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวแน่นอน เพราะคนเรามีจริตนิสัยต่างกันไป แต่อาจจะสรุปลงสั้นๆได้ตามจริตของคนโดยทั่วไปซึ่งมีทั้งหมด 6 จริตนิสัยคือ 1.ราคะจริต 2.โทสะจริต 3.โมหะจริต 4.สัทธาจริต 5.พุทธิจริต           6.วิตกจริต โดยเริ่มต้นเราต้องสังเกตที่ตัวของเราก่อนว่าเรามีจริตนิสัยอย่างไรใน 6 จริตข้างต้น เมื่อเราสังเกตเห็นจริตนิสัยของเราดีแล้ว เราค่อยหากรรมฐานที่เหมาะกับจริตของเราเอง เช่น เราเป็นคนรักสวยรักงามก็แสดงว่าเราเป็นคนราคะจริต เราก็ต้องใช้กรรมฐานที่มันไปตัดกับอารมณ์จริตของเรา คือ การพิจารณาซากอสุภะความไม่สวยงาม เป็นอสุภะกรรมฐาน แต่การฝึกเริ่มแรกเราก็ต้องฝึกให้จิตของเรามีความมั่นคงเสียก่อน ก่อนที่จะฝึกกรรมฐานแบบวิปัสสนา เพื่อนให้จิตของเราไปซัดส่ายไปในความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง พอเมื่อเรามีจิตที่พอสงบดีแล้วจึงจะเป็นจิตที่”คู่ควรแก่การงาน”ในการทำวิปัสสนากรรมฐานต่อไป

อาหารมีผลอย่างไรกับการปฏิบัติ

อีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นจะลืมเสียมิได้สำหรับร่างกายของเราคือเรื่องของอาหารที่เรากินเข้าไป มันจะมีผลต่อการฝึกปฏิบัติของสมาธิเป็นอย่างมาก ถ้าเรากินมากไปก็ง่วง น้อยไปมันก็หิว หรือถ้าเรากินอาหารที่มีธาตุหนักๆมาก เช่นโปรตีน ก็ทำให้ร่างกายมีอารมณ์ความยินดี ความกำหนัด เมื่ออารมณ์เหล่านี้มีอารมณ์อื่นๆก็จะตามมา อย่างอารมณ์โทสะ เป็นต้น ก็จะทำให้จิตใจของเราไม่สงบ มีความฟุ้งซ่านในอารมณ์ อาหารนั้นควรจะเป็นอาหารเบาๆและไม่ควรกินมากจนเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่เหมาะในการกินช่วงปฏิบัติคือ อาหารประเภทผัก ผลไม้ เมื่อเรากินไปแล้วร่างกายจะมีความเบา จิตใจจะมีความสงบได้ดีเป็นสมาธิได้ไว แต่เราก็ไม่ควรที่จะไปยึดมั่นเรื่องอาหารว่าต้องกินเจตลอด บางมื้อควรกินเนื้อสัตว์บ้างเพื่อให้ร่างกายของเราจะได้ไม่ขาดธาตุอาหารที่สำคัญที่ร่างกายต้องการ หรือเราอาจเปรียบเสมือนรถยนต์ ถ้ารถมีสภาพไม่พร้อมแต่คนขับคือเรามีความพร้อม รถก็ไม่อาจพาเราถึงเป้าหมายได้เพราะรถอาจพังหรือเครื่องยนต์ขัดข้องเสียไประหว่างทางก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

อย่าหลงอารมณ์ตัวเอง

เมื่อเราเริ่มปฏิบัติ ต้องระวังความคิดของเราเองที่ปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนี้ต้องระวังให้มาก แต่สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่เมื่อขณะที่เรานั่งสมาธิที่ต้องเจอกันทุกคน คืออารมณ์นิวรณ์ ก็จะเกิดขึ้นในขณะที่เรานั่งกำหนดภาวนา อารมณ์เหล่านี้จะเข้ามาโดยที่เราไม่ทันระวังตัวเราเอง

นิวรณ์ธรรม คือสภาวธรรมดำอันหนึ่งเป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต  นิวรณ์มีทั้งหมด5ประการ คือ

1.กามฉันทะ คือความรักใคร่พอใจในกามคุณ5มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรรมารมณ์

2.พยาบาท ความโกรธจัด ด้วยกำลังโทสะอย่างแรง ถึงกับมีความคิดปองร้ายทำลายผู้อื่น

3.ถีนมิทธะ ความหดหู่ท้อแท้และเคลือบเคลิ้มเศร้าซึมแห่งจิต

4.อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน อึดอัด กลัดกลุ้ม วิตกกังวล และความรำคาญใจ

5.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยตัดสินใจได้ไม่แน่นอน

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มาคอยปิดกั้นไม่ให้ผู้ปฏิบัติได้นำจิตของตนเข้าสู่สมาธิหรือมีจิตใจที่ผ่องใส

เมื่อเราเจอ อารมณ์ใดๆก็ตามให้เราตั้งสติและหาทางแก้อารมณ์นั้นให้ได้ อย่างหลงอยู่ในอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้จิตใจของผู้ปฏิบัติมีความซึม การทำสมาธิจะไม่ก้าวหน้าและจะไม่มีโอกาสได้สมาธิเลยเพราะเราจะถูกความง่วงบ้าง จิตคิดพล่านไปในอารมณ์ต่างๆบ้าง หรืออาจลังเลสงสัยในข้อวัตรปฏิปทาของตนเองที่กำลังปฏิบัติอยู่จนจิตเราไม่มีกำลังที่จะทำความมั่นคงของจิตเราได้ อย่าลืมว่าเมื่อเจออารมณ์เหล่านี้ ต้องรีบแก้ไขทันที ห้ามไปแช่จิตไว้ในอารมณ์เหล่านี้เด็ดขาด

สรุปเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ ควรเตรียมกายให้พร้อม สำรวมในอาหารที่กิน ต้องรู้จักนิวรณ์ที่จะทำจิตของเราให้ซึมในอารมณ์ ต้องแก้อารมณ์ได้เมื่อเจอ และก่อนจะกำหนดภาวนาทำสมาธิให้เรานั่งสำรวจกายโดยการพิจารณากายของเราตั้งแต่ศีรษะ ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก กำหนดให้ทั่วกายในอาการ32 ตามแบบกรรมฐานกายานุปัสสนาเสียก่อน จนจิตเราเริ่มสงบลง ก็ให้เริ่มหลับตาลงและภาวนาบริกรรมเพื่อทำสมาธิต่อไป ที่ต้องทำอย่างนี้เพื่อประโยชน์ เวลาเราได้สมาธิจนทำฌานจิตได้แล้ว จิตของเราจะไม่หลงไปในกระแสอารมณ์ของความสุข จนลืมสิ่งที่ควรทำนั้นคือวิปัสสนาเพื่อนำดวงจิตนี้ไปสู่ความพ้นทุกข์คือพระนิพพานอันเป็นบรมสุขที่เราทุกคนปรารถนา

ท่านพระอาจารย์สฤษดิ์ ได้บอกส่งท้ายอีกว่า การปฏิบัติต้องเริ่มทำเสียแต่วันนี้ อย่าไปคิดว่าเดียวพรุ่งนี้ค่อยทำหรือวันนั้นวันนี้ค่อยทำต้องลงมือทำเลย และเมื่อทำแล้วก็อย่ากลัวอะไรทั้งสิ้น  เพราะการปฏิบัติไม่มีอะไรที่น่ากลัว ทำแล้วมีแต่บุญแต่กุศล มีแต่สิ่งที่ดีๆทั้งนั้น ขอให้ลูกหลาน ตั้งใจและก็หมั่นเพียรในการทำไม่ช้าไม่นานก็จะสำเร็จเอง หรือถ้าหากมีข้อขัดข้องสงสัย ก็ให้เข้าหาครูบาอาจารย์ที่พอจะแนะนำเราได้ ให้ท่านช่วยแนะนำบอกทางให้เรา ก็จะทำให้เรามีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติมากขึ้น หรือถ้าหาครูบาอาจารย์ไม่ได้ ไม่รู้จักใคร ท่านพระอาจารย์ก็ยินดีที่จะให้คำแนะนำ ถ้ามีเวลาก็เดินทางมาด้วยตนเอง จะได้สนทนาธรรมเรื่องการทำสมาธิ การแก้อารมณ์ต่างๆในขณะปฏิบัติ ยินดีให้คำแนะนำทุกๆท่าน

สำหรับในโอกาสฉบับหน้าข้าพเจ้าจะได้นำสาระธรรมการปฏิบัติของท่านพระอาจารย์สฤษดิ์  สิริภัทโท แห่งสำนักถ้ำสิงห์โต มาบอกกล่าวชี้แจงแสดงเหตุแห่งเนื้อหาข้อธรรม อันละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ ในเรื่องของการทำอย่างไร จิตจะเข้าสมาธิ ได้ง่ายและการทรงอารมณ์ของสมาธิ ให้เราเรียนรู้การเข้าและออกสมาธิ รวมทั้งผลของการทำสมาธิดีอย่างไร ในฉบับหน้า เจริญธรรม.....

โพสเมื่อ : 07 พ.ค. 2556,15:20   อ่าน 927 ครั้ง